133 จำนวนผู้เข้าชม |
ในปี พ.ศ. 2537 องค์การอนามัยโลกและองค์การอุตุนิยมวิทยาโลกของสหประชาชาติได้นำดัชนีนี้มาใช้ประโยชน์ในประเทศไทย เนื่องจากระดับการแผ่รังสี UV ในบางพื้นที่ของประเทศไทยมีค่าที่สูง ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพและส่งผลเสียต่อผิวคุณได้ การทราบถึงระดับของแดดหรือความเข้มข้นของแดดจึงเป็นประโยชน์ต่อผิวและสุขภาพคุณ ซึ่งดัชนีรังสีอัลตราไวโอเลต (UV Index) หรือความแรงของแดด คือการวัดระดับการแผ่รังสีอัลตราไวโอเลต (UV) ในพื้นที่และเวลาที่กำหนด ได้ถูกคิดค้นขึ้นโดยนักวิทยาศาสตร์ชาวแคนาดาในปี พ.ศ. 2535 กล่าวได้ว่าดัชนีรังสีอัลตราไวโอเลต (UV Index) มีประโยชน์ในการแจ้งเตือนความเสี่ยงจากรังสี UV ที่สามารถทำให้เกิดการทำลายของผิวหนังและเกิดโรคผิวหนังเป็นที่รู้จักดี การใช้ข้อมูลจากดัชนีนี้ช่วยให้ป้องกันและระวังความเสี่ยงจากรังสี UV ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แล้วแดดระดับไหนที่ทำให้คุณผิวเสีย วันนี้ NBL จะมาแชร์ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับระดับของแดดและให้คุณทราบว่าแดดระดับไหนที่ทำให้คุณผิวเสีย ได้ดังนี้
โดยดัชนีรังสีอัลตราไวโอเลต (UV Index) หรือความแรงของแดดสามารถจำแนกได้ หรือเช็คแดดระดับไหนที่ทำให้คุณผิวเสียดังนี้
ดัชนีนี้มีความสำคัญในการแจ้งเตือนและป้องกันการเผชิญกับรังสี UV ซึ่งสามารถทำให้เกิดการทำลายผิวหนังและเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคผิวหนัง การทราบดัชนีรังสี UV ช่วยให้เราสามารถเลือกใช้มาตรการป้องกันและการดูแลผิวหนังในระดับที่เหมาะสม
ผู้ที่อาศัยในจังหวัดที่มีแดดระดับสูงควรระมัดระวังอย่างมากในการหลีกเลี่ยงช่วงเวลาที่แดดจัด เช่น 10.00-15.00 น. เพื่อป้องกันการได้รับรังสี UV ที่เข้มข้น ซึ่งอาจทำให้ผิวหนังเกรียมแดด (sunburn) และเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคดวงตาและมะเร็งผิวหนัง
เราควรดูแลผิวหนังด้วยการใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไปและ PA 3+ ขึ้นไปทุกวัน โดยเฉพาะเด็กและผู้ใหญ่ที่ผิวหนังอ่อนแอหรือแพ้แสงแดด ควรหลีกเลี่ยงการได้รับแสงแดดระหว่างเวลา 10.00-15.00 น. หากจำเป็นต้องออกนอกห้อง สามารถป้องกันตัวเองได้โดยการสวมหมวก สวมแว่นกันแดด สวมเสื้อผ้าปกคลุมร่างกาย และใช้กางร่ม หรือทานอาหารเสริมที่มีส่วนช่วยในการบำรุงผิว
หากผิวหนังไหม้แดดจนเกิดอาการแสบร้อน สามารถปฐมพยาบาลเบื้องต้นได้โดยใช้เจลว่านหางจระเข้ หรือ After Sun Gel ที่มีส่วนผสมของสารลดการระคายเคือง ใช้ทาเช้าและเย็นหลังจากมีอาการจนอาการดีขึ้น
ถ้ายังรู้สึกว่ายังมีอาการแสบแดง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการรักษาเพิ่มเติม